คุณเคยคิดไหมว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า การเดินทางของโลกเรา จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ?
จากหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ “CLEAN DISRUPTION OF ENERGY AND TRANSPORTATION” ซึ่งถูกเขียนโดย อาจารย์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัย Standford “Tony Seba” ภายในได้แสดงรูปภาพหนึ่งซึ่งถูกถ่ายขึ้นในปี 1900 รูปถ่ายนั้นเป็นรูปถนนที่เต็มไปด้วย พาหนะที่เรียกว่า รถม้า ซึ่งเป็นวิถีการเดินทางดั้งเดิมของมนุษย์

หลังจากนั้น 13 ปี ให้หลังบนถนนสายเดิม ธุรกิจรถม้าล่มสลายได้ถูกแทนที่ไปด้วยยานพาหนะที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ที่เรียกว่า ICE หรือ Internal Combustion Engine ซึ่งนี่คือการปฏิวัติรูปแบบของการเดินทางโดยสิ้นเชิง จากการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีเครื่องยนต์ ที่ทำให้สามารถเดินทางได้เร็วกว่า ไกลกว่า การเดินทางแบบเดิม
การปฏิวัติดังกล่าว ส่งผลต่อเนื่องที่สำคัญ 2 เรื่องหลัก คือ การบริโภคอย่างมากมายมหาศาล ของเชื้อเพลิง Fossil Fuel ที่มีอยู่อย่างจำกัด และมลพิษจากการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น ก๊าซเรือนกระจก ฝุ่นละอองต่างๆ ฯลฯ

ทำให้ทั่วโลกต่างเร่งคิดค้นและพัฒนา รูปแบบการเดินทางแบบใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆ ได้ และคำตอบก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle)
หากเราย้อนกลับมาดูที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก รวบรวมโดย IEA ตั้งแต่ปี 2010 จนถึง 2020 เราจะพบว่า ในปี 2020 ที่ผ่านมา มีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกถึง 2.3 ล้านคัน คิดเป็น 3.2% ของการจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลก

และหากนับรวมจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมทั้งหมด มีจำนวนสูงถึง 7.2 ล้านคัน คิดเป็นรถยนต์ Battery 100% มากถึง 66% และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งก็มีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2030 จะมีการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 27% และในปี 2040 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมากกว่า รถยนต์สันดาปภายใน (ICE)

สิ่งที่เป็น แรงผลักดันที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านจากโลกที่เต็มไปด้วยรถยนต์สันดาปภายใน ให้กลายมาเป็นโลกแห่งยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก
1) เทคโนโลยีแบตเตอรี่
ด้วยความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์ที่ล้ำสมัยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่สูงขึ้น รถยนต์วิ่งได้ไกลขึ้น ประกอบกับต้นทุนที่ลดลงจากการผลิตแบบ Economy of Scale ทำให้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาแบตเตอรี่ลดลง ถึง 89% และ Bloomberg New Energy Finance คาดการณ์ว่า ในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้า จะมีราคาเทียบเคียงกับ รถยนต์ ICE ในสมรรถนะที่เท่ากัน จนมีคำที่หลายคนพูดกันว่า “หลังปี 2025 จะไม่มีเหตุผลที่ผู้คนจะเลือกซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกต่อไป“
2) ปัญหามลพิษทางอากาศ
การเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ ICE มีผลก่อให้เกิดมลพิษต่างๆ ก๊าซเรือนกระจก ฝุ่นละออง ไอเสีย ซึ่งส่งผลต่อโลกที่ร้อนขึ้น เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้น จนทำให้ สนธิสัญญาปารีส (COP-21) มีการทำข้อตกลงร่วมกัน ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลง 20-25% ในปี 2030 ซึ่งภาคอุตสาหกรรมขนส่ง ถือได้ว่า เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญในการผลักดัน
3) การผลักดันเชิงนโยบายของนานาประเทศ
จากที่ในหลาย ๆ ประเทศได้เห็นตรงกัน ถึงความสำคัญ และความจำเป็นของการสนับสนุนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า หลายประเทศจึงใช้นโยบาย การแบนรถยนต์ ICE หรือในหลายประเทศใช้นโยบายในการกำหนดเป้าหมายสัดส่วน รถยนต์ใหม่ที่จะต้องเป็นรถ EV ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ

จากแนวโน้มการเจริญเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นใน 10 ปีข้างหน้าในโลก จึงเป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยเราย่อมไม่สามารถหลีกหนีจากการเปลี่ยนผ่านนี้ และในบทบาทของประเทศไทย ประเทศที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน เราคงต้องรีบเตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนและปฏิวัติอุตสาหกรรมดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
Recommend
[bdp_post_carousel show_content="true" arrows="false" speed="2000" show_comments="false" show_read_more="false"]